กฟผ. ก้าวสู่ยุค Digital Power Plant เพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า ลดต้นทุนค่าไฟ มุ่งสู่อนาคตพลังงานที่ยั่งยืน

4 September 2024

          โลกในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปในทุกมิติอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยี ซึ่งยุคที่เราอยู่ถูกขนานนามว่า “ยุคดิจิทัล” และในอีกไม่นานเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ “ยุคปัญญาประดิษฐ์” หรือที่คุ้นหูกันว่า AI (Artificial Intelligence) นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ถูกนำมาใช้พัฒนาสังคมในมิติต่าง ๆ รวมไปถึงด้านพลังงาน กฟผ. ในฐานะผู้รักษาความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ย่อมต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายในการพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าให้มีความทันสมัย มีเสถียรภาพ และตอบโจทย์ด้านความมั่นคงไปพร้อมกัน แนวคิดเรื่องโรงไฟฟ้าดิจิทัล (Digital Power Plant) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบไฟฟ้าไทยให้สามารถรองรับการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานสู่อนาคต

          เมื่อเร็ว ๆ นี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้จัดงาน “Digital Power Plant Talk 2024” เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์การใช้งานระบบดิจิทัลในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นการยกระดับการทำงานแบบดั้งเดิมสู่ระบบอัจฉริยะที่ใช้ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า

          นายสมศักดิ์ กล่ำกลาย ผู้ช่วยผู้ว่าการเทคโนโลยีดิจิทัล (ชหท.) กล่าวว่า กฟผ. ได้ก้าวสู่ยุคใหม่ของการผลิตไฟฟ้า ด้วยการนำแนวคิดโรงไฟฟ้าดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินงานตั้งแต่ ปี 2565 มีการใช้นวัตกรรม AI และระบบงานต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ โดยเริ่มนำร่องที่โรงไฟฟ้าพระนครใต้ และขยายผลไปยังโรงไฟฟ้าอีก 21 แห่งทั่วประเทศของ กฟผ. รวมไปถึงโรงไฟฟ้าเอกชนต่าง ๆ นอกจากนี้ กฟผ. ยังได้พัฒนาต่อยอดสู่ระบบตรวจสอบและติดตามสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นแบบ Realtime ช่วยให้การวางแผนงานบำรุงรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น นับเป็นหมุดหมายสำคัญของเส้นทางการพัฒนาระบบบริหารจัดการโรงไฟฟ้าไทยในยุคดิจิทัล

          “ความสำเร็จของโครงการพัฒนานี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่าย แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานในการปรับตัวสู่วิธีการทำงานแบบใหม่ แม้อาจจะไม่สะดวกในระยะแรก แต่เมื่อทุกคนเรียนรู้และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ก็จะช่วยลดภาระงานประจำและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงาน โดยเฉพาะในช่วงที่ กฟผ. จะต้องเปลี่ยนแปลงให้รับกับอนาคตอีกด้วย” ชหท. กล่าวฝาก

          ทั้งนี้ ภายในงานมีการนำเสนอหัวข้อที่น่าสนใจหลายประการ เริ่มตั้งแต่ภาพรวมของโครงการ Digital Power Plant ของ กฟผ. ซึ่งใช้ระบบ MAXIMO เป็นหลักในการบริหารจัดการงานบำรุงรักษา ไปจนถึงการแบ่งปันประสบการณ์การใช้งานระบบดังกล่าวจากโรงไฟฟ้าต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น ระบบ Intelligent Maintenance and Operation (IMO) และแนวคิด Virtual Inventory ล้วนแล้วแต่เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาสู่การเป็นโรงไฟฟ้าดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

การพัฒนาระบบบริหารจัดการโรงไฟฟ้าดิจิทัลของ กฟผ.

          คุณณัฐพงศ์ ทัศเจริญ นักคอมพิวเตอร์ระดับ 8 จากฝ่ายจัดการและพัฒนาระบบดิจิทัล (อจท.) ได้นำเสนอความเป็นมา และ Roadmap ของ Digital Power Plant โดยเล่าถึงจุดเริ่มต้นของโครงการในปี 2565 ที่เริ่มนำระบบ Maximo, Predictive และ Prescriptive มาใช้ที่โรงไฟฟ้าพระนครใต้ ก่อนจะขยายผลไปยังโรงไฟฟ้าและเขื่อนของ กฟผ. ทั่วประเทศ ระบบนี้ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานได้สะดวกขึ้นผ่าน Mobile Application ช่วยลดการใช้เอกสาร ลด Downtime และลดค่าใช้จ่ายขององค์การ

          กฟผ. ได้พัฒนาระบบบริหารจัดการโรงไฟฟ้าดิจิทัลที่ทันสมัย โดยใช้ระบบ MAXIMO เป็นหลักในการดำเนินงาน ภายใต้การดูแลของกองพัฒนาระบบงานธุรกิจหลัก 1 ฝ่ายจัดการและพัฒนาระบบดิจิทัล

          การติดตั้งระบบ MAXIMO ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในโรงไฟฟ้าของ กฟผ. โดยเริ่มจาก 22 แห่งในช่วงแรก และขยายไปยังโรงไฟฟ้าอื่น ๆ รวมถึงโรงไฟฟ้าเอกชนในเวลาต่อมา ระบบนี้ประกอบด้วยโมดูลการทำงานหลายส่วน ครอบคลุมการบริหารจัดการงานบำรุงรักษาอย่างครบวงจร รวมไปถึงแอปพลิเคชันมือถือที่ทีมได้พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น การสรุปปิดใบงาน การขอทำงานล่วงเวลา และการจัดการด้านความปลอดภัย ซึ่งสอดคล้องกับระเบียบและมาตรฐานการทำงานของ กฟผ.

          ในปี 2565 กฟผ. ได้รับรางวัล ASOCIO Tech Excellence Awards 2022 ในสาขา Environmental, Social and Governance จากสมาพันธ์อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และบริการในภูมิภาคเอเชีย – โอเชียเนีย ความสำเร็จที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จากผลงานการนำระบบบริหารจัดการงานบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าโดยใช้เทคโนโลยี AI ช่วยในการคาดการณ์อายุการใช้งานและบำรุงรักษาอุปกรณ์ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของโรงไฟฟ้าล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ พร้อมระบบติดตามและแจ้งเตือนการทำงานผิดปกติแบบเรียลไทม์

          โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ กฟผ. ในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศ โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

“การปฏิวัติการจัดการโรงไฟฟ้าด้วยระบบดิจิทัล : กรณีศึกษา บริษัท หินกองเพาเวอร์”

          ต่อมา คุณเมธินทร์ ธีระแนว จากโครงการเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า บริษัท หินกองเพาเวอร์ จำกัด (อค-บห.) ได้แบ่งปันประสบการณ์การนำระบบ Maximo ไปใช้ในการดำเนินงานด้าน O&M ที่โรงไฟฟ้าหินกองเพาเวอร์ แสดงให้เห็นถึงการนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า

          คุณเมธินทร์ กล่าวว่า ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น โครงการเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า บริษัท หินกองเพาเวอร์ จำกัด ได้นำระบบ Maximo มาใช้ในการบริหารจัดการสินทรัพย์และการบำรุงรักษา (Enterprise Asset Management-EAM) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน

          ระบบ Maximo ไม่เพียงแต่เชื่อมโยงกับระบบ ERP และ PMS เท่านั้น แต่ยังสามารถทำงานร่วมกับระบบควบคุมกระบวนการผลิต (DCS) และระบบ TOMONI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยในการวิเคราะห์และคาดการณ์สถานะของอุปกรณ์ การเชื่อมโยงนี้ทำให้การจัดการข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านการประมวลผลแบบ Real-Time และแบบ Batch

          นวัตกรรมสำคัญที่ถูกนำมาใช้คือ “Asset Template” ซึ่งเป็นแม่แบบสำหรับอุปกรณ์แต่ละประเภท Template นี้ ประกอบด้วยข้อมูลอะไหล่ (BOM), แผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PM), ข้อมูลมิเตอร์ และข้อกำหนดทางเทคนิคของอุปกรณ์ สิ่งนี้ช่วยให้การจัดการอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายกันทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

          ระบบยังรองรับการสร้าง E-Inspection Sheet ซึ่งช่วยในการตรวจสอบอุปกรณ์แบบดิจิทัล ทำให้การเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          การนำระบบ Maximo มาใช้นี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของโครงการเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า บริษัท หินกองเพาเวอร์ ในการพัฒนาสู่การเป็น “โรงไฟฟ้าดิจิทัล” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยลดต้นทุน เพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบ และสนับสนุนการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่แม่นยำ

          ความสำเร็จของโครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับโรงไฟฟ้าอื่น ๆ ในการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสม สามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาว ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพการผลิตและความยั่งยืนของธุรกิจ

IMO แพลตฟอร์มบริหารจัดการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่อัจฉริยะ

          คุณศราวุธ คณิตปัญญาเจริญ จากฝ่ายบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าแม่เมาะ (อรม.) ได้นำเสนอระบบ IMO (Intelligent Maintenance and Operation) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ กฟผ. ได้พัฒนาต่อยอดเพื่อตอบโจทย์การบริหารจัดการโรงไฟฟ้าแม่เมาะแบบครบวงจร ที่กำลังพัฒนาใช้งานที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ หน่วยที่ 14 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยใช้ AI ในการตรวจจับความผิดปกติในโรงไฟฟ้า ควบคุมการบำรุงรักษา และแจ้งเตือนความผิดปกติของอุปกรณ์แบบอัตโนมัติ นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการทำงาน O&M ของโรงไฟฟ้า กฟผ.

          แพลตฟอร์ม IMO นี้ ประกอบด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ช่วยแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยแบ่งออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ :

          1. AI Image Analytics ระบบวิเคราะห์ภาพด้วย AI : ตรวจจับเหตุการณ์ผิดปกติในโรงไฟฟ้าโดยใช้ AI วิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดแบบเรียลไทม์ เช่น ไฟไหม้ ควัน หรือการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ                            

          2. Automatic Control & Early Warning : ระบบควบคุมที่กำหนดเงื่อนไข (Customized Rule Base) จากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของ Domain Expert เพื่อตั้งมาตรฐานในการจัดการควบคุมอุปกรณ์โรงไฟฟ้าและแจ้งเตือนความผิดปกติล่วงหน้าช่วยลดการสูญเสียกำลังการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์สำคัญ เช่น ปั๊มน้ำหล่อเย็น (CEP Pump) และหม้อไอน้ำ (Boiler)

          3. O&M Management แอปพลิเคชันมือถือสำหรับการบริหารจัดการ : ครอบคลุมการทำงานผ่าน Work Order, การเบิกอะไหล่, การอนุมัติงานซื้อจ้าง และการติดตามสถานะงาน ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          4. Smart TOR : ช่วยในการสร้างเอกสารขออนุมัติจัดซื้อจัดจ้าง ติดตามสถานะ และแจ้งเตือนอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาและข้อผิดพลาดในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง

          5. Spare Part Management ระบบบริหารจัดการอะไหล่ของโรงไฟฟ้า : ช่วยในการค้นหา เบิกจ่าย และวิเคราะห์การใช้อะไหล่ รวมถึงแนะนำการจัดซื้ออะไหล่ที่เหมาะสม ลดปัญหาอะไหล่ค้างสต็อกและการขาดแคลนอะไหล่

          6. Report & Dashboard : สร้างรายงานและแดชบอร์ด เพื่อช่วยในการมอนิเตอร์และวิเคราะห์ข้อมูลสำคัญต่าง ๆ เช่น ประสิทธิภาพการผลิต การสูญเสียพลังงาน และการปล่อยมลพิษ

          การพัฒนาแพลตฟอร์ม IMO นี้เป็นก้าวสำคัญของ กฟผ. ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า ลดต้นทุน และเพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังช่วยรักษาองค์ความรู้และประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญที่กำลังจะเกษียณอายุ ทำให้ผู้ปฏิบัติงานรุ่นใหม่สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          โครงการนี้กำลังดำเนินการในโรงไฟฟ้าแม่เมาะ หน่วยที่ 14 และมีแผนขยายไปยังหน่วยที่ 8-13 รวมถึงระบบสายพานลำเลียงถ่านหินและระบบบำบัดน้ำในอนาคต ซึ่งจะช่วยยกระดับการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าของ กฟผ. สู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ สอดคล้องกับแนวคิดโรงไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Power Plant) ที่กำลังเป็นแนวโน้มสำคัญในอุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลก

ปิด Gap ลดต้นทุนโรงไฟฟ้าด้วยการบริหารคลังพัสดุด้วยระบบคลังเสมือน: Virtual Inventory

          ปิดท้ายด้วย คุณนภัสวัต ชินกรรม จากฝ่ายบริหารจัดการสินทรัพย์ผลิตไฟฟ้า (อหฟ.) ที่นำเสนอแนวทาง Inventory Management เพื่อช่วยจัดการปัญหาการจัดการอะไหล่สำรองที่ไม่มีประสิทธิภาพ นำมาสู่ภาระทางต้นทุนที่ไม่จำเป็น ด้วยแนวคิดคลังเสมือน (Virtual Inventory) ระบบการบริหารจัดการคลังพัสดุและอะไหล่โรงไฟฟ้า เพื่อบริหารจัดการอะไหล่สำรองให้เพียงพอ พร้อมใช้งาน ลดภาระการจัดเก็บพัสดุคงคลังผ่านกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแบบอัตโนมัติ เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างโรงไฟฟ้า คลังพัสดุ ศูนย์บริหารจัดการส่วนกลาง และ Supplier ทำให้เกิดการบริหารต้นทุนและทรัพยากรที่คุ้มค่า ช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในระยะยาว

          โครงการพัฒนาระบบคลังเสมือนมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ คือ :

          1. บริหารจัดการอะไหล่ตลอดช่วงอายุโรงไฟฟ้า ตั้งแต่เข้าสู่ระบบจนปลดออก

          2. ใช้งานอะไหล่และพัสดุในรูปแบบการบริหาร Supply Chain

          3. เชื่อมโยงการบริหารจัดการอะไหล่และพัสดุระหว่างระบบต่าง ๆ มีการจัดซื้อจัดจ้างแบบอัตโนมัติ และลดกระบวนการที่ไม่จำเป็น

          แนวคิดของระบบคลังเสมือนประกอบด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลและการบริหารจัดการระหว่างโรงไฟฟ้า คลังพัสดุ ศูนย์บริหารจัดการส่วนกลาง และผู้ขาย โดยใช้แพลตฟอร์ม Virtual Inventory ที่เชื่อมต่อกับระบบ MMS (Maintenance Management System) และ PMAS (Predictive Maintenance Analytics System)

          การดำเนินการแบ่งเป็น 3 ระยะ :

          – ปี 2566 : พัฒนาแนวทาง Virtual Inventory กับระบบ MMS และทดลองการจัดซื้ออัตโนมัติ

          – ปี 2567 : ขยายผลไปยังโรงไฟฟ้าอื่น ๆ และพัฒนาระบบ Supply Chain

          – ปี 2568 เป็นต้นไป : ใช้งานที่โรงไฟฟ้าและเขื่อนทั่วทั้ง กฟผ.

          ความท้าทายสำคัญของโครงการนี้คือการจัดการข้อมูลที่มีคุณภาพเพื่อการตัดสินใจ การปรับปรุง Master Data และการแก้ไขระเบียบด้านสินทรัพย์ภาครัฐให้สอดคล้องกับแนวทางใหม่

          โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ กฟผ. ในการนำเทคโนโลยีและแนวคิดสมัยใหม่มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และบริหารทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศในระยะยาว

ก้าวแห่งการเปลี่ยนแปลง สู่ปลายทางภารกิจแห่งความยั่งยืน

          การพัฒนาตามแนวคิดโรงไฟฟ้าดิจิทัลของ กฟผ. ไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานเท่านั้น แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับระบบไฟฟ้าของประเทศในอนาคต ให้สามารถเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดได้อย่างราบรื่น มีเสถียรภาพ และมีต้นทุนที่เหมาะสม สิ่งสำคัญในการพัฒนาไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาใช้งาน แต่เป็นการปรับแนวคิดการทำงานและการจัดการโรงไฟฟ้าทั้งระบบ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมจากคนทำงาน ทั้งในด้านการบริหารและการปฏิบัติงาน การก้าวออกจาก Safe Zone ที่เป็นการทำงานในรูปแบบเดิม สู่แนวทางใหม่ที่ไม่คุ้นชินในระยะแรก รู้จักปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปพร้อมกัน นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานแห่งอนาคตบนเส้นทางภารกิจแห่งความยั่งยืน

Skip to content