เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นโครงการตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงดำริให้สร้างเขื่อนเพื่อเก็บกักน้ำและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เป็นเขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานนามว่า “เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์” และเสด็จทรงเปิดเขื่อนฯ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2542
ความเป็นมา
“แม่น้ำป่าสัก” เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่สุดสายหนึ่งของชาวจังหวัดลพบุรีและสระบุรี ประชาชนจะได้ประโยชน์จากแม่น้ำป่าสักอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตรกรรมหรือการประมง แต่ในช่วงเดือนสิงหาคม ถึงเดือนตุลาคมของทุกปี จะเกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของจังหวัดลพบุรี เช่น ตำบลมะนาวหวาน ตำบลหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม ตำบลลำนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล และหมู่บ้านใกล้เคียงอีกรวมไปถึงจังหวัดสระบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร และปริมาณฑล สำหรับในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนพฤษภาคม พื้นที่ในลุ่มน้ำป่าสักก็จะประสบภาวะแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำใช้เพื่อการเกษตรและอุปโภค บริโภค
ในปี พ.ศ. 2508 กรมชลประทานได้เริ่มศึกษาโครงการเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงจึงได้ระงับโครงการฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชกรณียกิจมากมายหลายด้าน แต่หลายครั้งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมราษฎรจังหวัดลพบุรีด้วยความห่วงใย และได้เสด็จไปทอดพระเนตรพื้นที่ในเขตอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรีที่กำลังประสบปัญหาอยู่
ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล และด้วยความห่วงใยในพสกนิกรของพระองค์ ด้วยพระอัจฉริยภาพที่ล้ำลึก และเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ ทรงแก้ปัญหาให้ “ความโหดราย” ของแม่น้ำป่าสักกลับกลายเป็น “ความสงบเสงี่ยม” ที่น่านิยม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงหาทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 พระองค์ท่านได้มีพระราชดำริให้กรมชลประทานดำเนินการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเขื่อนกักเก็บน้ำแม่น้ำป่าสักอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาความขาดแคลนน้ำ เป็นประโยชน์ต่อพื้นที่เพาะปลูก และบรรเทาอุทกภัยที่เกิดขึ้น
ลักษณะเขื่อน
ที่ตั้ง
บ้านหนองบัว ตำบลหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี และบ้านคำพราน ตำบลคำพราน อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี
อุทกวิทยา
พื้นที่รับน้ำฝนเหนือที่ตั้งเขื่อน | 14,520 ตารางกิโลเมตร |
---|---|
ปริมาณน้ำท่าเฉลี่ย (ปี 2498-2535) | 2,400 ล้าน ลบ.ม./ปี |
ปริมาณน้ำนองสูงสุด | 3,900 ลบ.ม./วินาที |
อ่างเก็บน้ำ
ระดับกักเก็บน้ำสูงสุด | +43 ม.รทก. |
---|---|
ระดับเก็บกักปกติ | +42 ม.รทก. |
ความจุอ่างเก็บน้ำ | 785 ล้าน ลบ.ม. |
อาคารระบายน้ำล้น
ประเภท | โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กควบคุมด้วยประตูบานโค้ง |
---|---|
จำนวนประตูระบายน้ำ | 7 บาน |
ขนาดบานระบาย (กว้างxสูง) | 12.5 x 8 เมตร |
ความสามารถระบายน้ำ | ความสามารถระบายน้ำ 3,900 ลบ.ม./วินาที |
เขื่อนเก็บกักน้ำ
ประเภท | เขื่อนดินแกนดินเหนียว |
---|---|
ระดับสันเขื่อน | +46.5 ม.รทก. |
ความยาว | 4,860 เมตร |
ความสูง | 31.5 เมตร |
โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
โรงไฟฟ้าพลังน้ำป่าสักชลสิทธิ์ เป็นโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกับกรมชลประทาน ในการใช้ประโยชน์จากน้ำในเขื่อนของกรมชลประทานให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของรัฐบาลประกาศในเดือนกันยายน พ.ศ. 2546 ที่กำหนดให้มุ่งเน้นส่งเสริมและพัฒนาการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เพื่อลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ
ในเดือนธันวาคม 2546 คณะรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายส่งเสริมให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กบริเวณท้ายเขื่อนของกรมชลประทานเพื่อผลิตไฟฟ้าจากการปล่อยน้ำตามปกติของกรมชลประทานอยู่แล้ว โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบ โดยให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้สนับสนุนด้านเทคนิคการวางแผนและการพัฒนา ในการนี้กรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งได้รับมอบหมายจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพลังงานตามลำดับ ได้ร่วมกันพิจารณาดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดย กฟผ. แสดงเจตจำนงจะพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กท้ายเขื่อนชลประทาน 6 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกัน 78.7 เมกะวัตต์ กฟผ. ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการดังกล่าว เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เป็นหนึ่งใน 6 โครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ด้วย
ลักษณะโรงไฟฟ้า
ประกอบด้วยอาคารโรงไฟฟ้าคอนกรีตเสริมเหล็ก ตั้งอยู่บริเวณฝั่งขวาของอาคารระบายน้ำเดิม (River Outlet) ขนาดกว้าง 22.50 เมตร ยาว 40.50 เมตร สูง 38.60 เมตร มีกำลังผลิตติดตั้ง 6.70 เมกะวัตต์ จำนวน 1 เครื่อง ประเภทเครื่องกังหันน้ำ S-Type ความสูงน้ำออกแบบ 13.50 เมตร ปริมาณน้ำออกแบบ 55.00 ลบ.ม./วินาที ไฟฟ้าที่ผลิตได้จะส่งต่อให้กับระบบสายส่งขนาด 22 กิโลโวลท์ โรงไฟฟ้าจะสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้เฉลี่ยปีละประมาณ 34.80 ล้านหน่วยกิโลวัตต์-ชั่วโมง
ประโยชน์
- ลดการใช้เชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- ผลิตพลังงานไฟฟ้าสะอาดได้เฉลี่ย 34 ล้านหน่วย/ปี
- ลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศได้ปีละ 8.5 ล้านลิตร
- ส่งเสริมการศึกษาวิจัยด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
- ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในระบบผลิตไฟฟ้ารวมของประเทศ
- เกิดการจ้างงานท้องถิ่น ในระหว่างการก่อสร้าง
- สร้างความมั่นคงในระบบไฟฟ้าของ อำเภอพัฒนานิคม และเขตใกล้เคียง
- เพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวให้แก่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
https://www.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2608&Itemid=117#sigFreeIdb9f9d7bebf
มิถุนายน 2561