“Blackout” ความมืดที่ดังที่สุด ไทยรับมืออย่างไร

22 July 2025

          เหตุการณ์ไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในหลายประเทศของยุโรป เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้ประชาชนหลายล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้ และต้องอยู่ในความมืดมิดนานนับกว่า 10 ชั่วโมง สร้างความโกลาหลอย่างหนักจนถึงขั้นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน กลายเป็นข่าวที่ดังที่สุดไปทั่วโลก เพราะเมื่อใดก็ตามที่เกิด “ไฟฟ้าดับ” หรือ“Blackout” ก็เท่ากับว่าในความมืดนั้นมีผู้คนมากมายกำลังส่งเสียงอยู่ และเฝ้ารอการกลับมาของระบบไฟฟ้าเพื่อที่จะดำเนินชีวิตต่อได้อย่างปกติ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้จุดประเด็นเรื่องความเสี่ยงของระบบไฟฟ้าให้กับอีกหลายๆประเทศได้ตระหนักถึงเสถียรภาพความมั่นคงของระบบโครงข่ายไฟฟ้า รวมถึงการแก้ไขระบบไฟฟ้าให้กลับคืนโดยเร็ว เพราะผลกระทบไม่ใช่แค่การตกอยู่ในความมืด แต่เป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจที่มีมูลค่ามหาศาล สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความมั่นคงด้านพลังงาน ซึ่ง “การกู้คืนระบบไฟฟ้า” ให้กลับสู่สภาวะปกติได้เร็วมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งลดผลกระทบและดึงความเชื่อมั่นของประชาชนกลับคืนมาด้วย

เคลียร์ให้ชัด “ไฟตก” หรือ “ไฟดับ”

          เชื่อว่าเราทุกคนเคยเจอทั้งเหตุการณ์ “ไฟตก” และ “ไฟดับ” กันมาแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะตกหรือดับล้วนเป็นความผิดปกติของระบบไฟฟ้า ซึ่งมีความแตกต่างกัน “ไฟตก” หรือ“Brownout” นั้น เป็นภาวะที่แรงดันไฟฟ้าลดต่ำลงกว่าปกติ แต่ยังคงมีไฟฟ้าจ่ายอยู่ เกิดในพื้นที่ทั่วไปหรือบางจุด ซึ่งจะสังเกตเห็นจากหลอดไฟที่หรี่ลง หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้นได้รับความเสียหายจากแรงดันไฟฟ้าที่มีไม่เพียงพอ ส่วนไฟดับนั้นมีทั้งแบบ “ไฟดับบางส่วน” หรือ “Partial Blackout” เป็นภาวะที่เกิดไฟดับเฉพาะบางพื้นที่หรือบางสายส่งไฟฟ้า ซึ่งอาจเกิดจากอุปกรณ์ในระบบไฟฟ้าได้รับความเสียหายเฉพาะจุด และแบบ “ไฟฟ้าดับสนิท” หรือ “Blackout” เป็นลักษณะไฟดับที่มีผลกระทบเป็นวงกว้างทั่วประเทศ หรืออาจเรียกว่าเป็นภาวะไฟฟ้าดับทั้งระบบ เกิดจากระบบไฟฟ้าล้มเหลว ซึ่งอาจมาจากสาเหตุต่าง ๆ ได้แก่ ภัยพิบัติธรรมชาติ มีโรงไฟฟ้าหลุดจากระบบเป็นจำนวนมาก การจ่ายเชื้อเพลิงให้โรงไฟฟ้าขัดข้อง อุปกรณ์ระบบส่งไฟฟ้าขัดข้อง การก่อเหตุวินาศกรรม และการโจมตีทางไซเบอร์  ซึ่งเมื่อเรารู้ว่าเป็นความผิดปกติแบบไหนและจากสาเหตุใด เราจะสามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้ดีขึ้น เพื่อแก้ไขให้ไฟฟ้ากลับคืนสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว

ไฟฟ้าไทยไม่ประมาท เตรียมรับมือเมื่อเกิดไฟดับ

          แม้ประเทศไทยจะเคยเกิดเหตุการณ์ Blackout เมื่อนานมาแล้วราวปี พ.ศ.2521 แต่หลังจากนั้น  การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งมีภารกิจสำคัญในการดูแลและรักษาความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ ได้มีการดูแลระบบผลิตและระบบส่งไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพความมั่นคงอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับประชาชนได้อย่างเพียงพอ ต่อเนื่อง และขณะเดียวกันยังได้เตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินอย่าง Blackout  ไว้อีกด้วย  โดยมีการฝึกซ้อมแผนการนำระบบไฟฟ้ากลับคืนสู่สภาวะปกติ หากเกิดไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง (Blackout Restoration Simulation) เป็นประจำทุกปี ซึ่งจะทำการฝึกซ้อมให้กับพนักงานที่มีหน้าที่ควบคุมระบบไฟฟ้าทุกคน เพื่อให้ได้รับการทบทวนขั้นตอน และพัฒนาทักษะการบริหารจัดการต่อภาวะวิกฤตได้อย่างเป็นระบบ พร้อมกับวางมาตรการป้องกันและแผนการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถแก้ไขหรือกู้ระบบกลับคืนได้อย่างทันท่วงที

“โรงไฟฟ้าพลังน้ำ” ไม้ขีดก้านแรกกู้ไฟคืนระบบ

          เมื่อเกิด Blackout ขึ้นในระบบ ภารกิจกู้คืนระบบไฟฟ้า หรือ Blackout Restoration จะเริ่มต้นที่ ศูนย์ปฏิบัติการเขต/ภาค (Regional Control Center: RCC) ทั่วประเทศ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมและสั่งการระบบไฟฟ้าภายในพื้นที่ที่รับผิดชอบ โดยจะสั่งการ Black Start โรงไฟฟ้าพลังน้ำในพื้นที่ที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่สามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ด้วยตนเองจากภาวะไร้ไฟฟ้าภายในเวลาไม่กี่นาที เปรียบเสมือนไม้ขีดก้านแรกที่ถูกจุดขึ้น เพื่อส่งกำลังไฟฟ้า (Charge Line) ไปยังสถานีไฟฟ้าแรงสูงผ่านสายส่งในแต่ละพื้นที่ โดยไฟฟ้าที่ได้จากการ Black Start จะนำไปจ่ายให้โรงไฟฟ้าประเภทอื่นที่ไม่สามารถ Black Start ได้ หรือโรงไฟฟ้าที่สามารถ Black Start ได้แต่ไม่สามารถส่งกำลังไฟฟ้าไปยังสถานีไฟฟ้าแรงสูงข้างเคียงได้ก่อน เมื่อระบบในแต่ละภูมิภาคเริ่มมีความเสถียร ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติ (National Control Center: NCC) ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมการผลิตและส่งไฟฟ้า จะสั่งการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าแต่ละภูมิภาคเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นจึงเริ่มทยอยจ่ายไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งหมดจนครบ 100%

ยึดหลัก “กันไว้ดีกว่าแก้”

          คำเก่าแก่ที่ไม่เคยล้าสมัย “กันไว้ดีกว่าแก้” ยังคงใช้ได้เสมอ เป็นหลักวิธีที่ กฟผ. นำมาใช้กับการดูแลระบบโครงข่ายไฟฟ้าไทย ทั้งการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) ให้กับโรงไฟฟ้าและระบบส่งจ่ายไฟฟ้า การออกแบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อป้องกันอุปกรณ์หรือโรงไฟฟ้าใดหลุดออกจากระบบ เพื่อให้ระบบไฟฟ้าสามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการพลังงานและปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าให้มีความทันสมัย (Grid Modernization) ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบไฟฟ้า รองรับความผันผวนของพลังงานหมุนเวียนที่กำลังมีบทบาทในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น และแม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่อระบบไฟฟ้า กฟผ. ยังได้จัดเตรียมความพร้อมทั้งด้านทรัพยากรและบุคลากรเพื่อบริหารจัดการให้ระบบกลับสู่สภาวะปกติอย่างมีประสิทธิภาพ และประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นภารกิจที่ กฟผ. มุ่งมั่นตั้งใจดูแลระบบไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคนไทยทุกคนจะมีไฟฟ้าใช้อย่างมั่นคงที่สุด

Skip to content