จากปุ๋ยเคมี พลิกผืนดินดีด้วย “โบกาฉิ” ที่บ้านควน จ.กระบี่

15 September 2025

          ณ ชุมชนเล็ก ๆ ชื่อ บ้านควน จังหวัดกระบี่ ที่ประกอบอาชีพทำสวนปาล์มและยางพาราโดยพึ่งพาปุ๋ยเคมีเป็นหลัก ในอดีตที่ผ่านมาชาวบ้านต่างยืนมองดูแปลงสวนปาล์มที่อยู่ด้านหน้า แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งความหวังและความกังวล และนี่เป็นเพียงหนึ่งในเกษตรกรนับล้านที่ต้องเผชิญกับปัญหาซ้ำซากจนดูเหมือนไร้ทางออก ไม่ว่าจะเป็น ค่าปุ๋ยเคมีที่ทะยานสูงขึ้นทุกปี ผลผลิตที่ไม่เป็นไปอย่างที่ใจหวัง และรายได้ที่ไม่เพียงพอ นี่คือวงจรแห่งความทุกข์ที่บีบรัดหัวใจเกษตรกรไทยมายาวนาน 

          ปี 2560 คือปีที่วิถีชีวิตของชาวบ้านควนเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยื่นมือเข้ามาสนับสนุนโดยนำ “โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” เข้ามาสู่ชุมชน นี่ไม่ใช่แค่การให้เงินทุนหรือเครื่องจักร แต่คือการมอบโอกาสครั้งใหม่ ให้กับหัวใจที่อ่อนล้าของชาวบ้าน 

          กฟผ. ได้ร่วมมือกับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกระบี่ ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการผลิตโบกาฉิ (สารปรับปรุงดิน) เพื่อให้ชุมชนมีผลผลิตที่ดีขึ้น โดยได้สนับสนุนเงินทุน โรงเรือน และเครื่องจักรในการผลิต

          ผ่านการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ชีววิถีบ้านควน ซึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2560 มีจำนวนสมาชิก 11 คน นำโดย พี่จุรีย์ กันหกุล ในฐานะประธานกลุ่ม กลุ่มนี้ไม่ได้หวังแค่เพียงการสร้างรายได้ แต่ตั้งใจยกระดับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะครัวเรือนที่เปราะบาง อาทิ ครอบครัวที่มีผู้พิการหรือผู้ป่วยติดเตียง โดยการจ้างงาน ซึ่งมีการถือหุ้น แบ่งปันผลกำไร และนำรายได้ส่วนเกินไปเป็นกองทุนเพื่อการศึกษาแก่เยาวชนในชุมชน


พี่จุรีย์ กันหกุล ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ชีววิถีบ้านควน เล่าย้อนถึงความลังเลในวันที่เริ่มต้นว่า 

“ตอนแรกก็ลังเล ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม เพราะเคยชินกับการใช้ปุ๋ยเคมีมาตลอด แต่พอเห็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกำไรแทบไม่มีเหลือ ก็ทำให้เราคิดได้ว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องหาทางออกใหม่”

เธอและสมาชิกทั้ง 11 คน ตัดสินใจบุกเบิกและก้าวเข้าสู่โลกของเกษตรอินทรีย์ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวัง 

          การได้รับองค์ความรู้ด้านการผลิตโบกาฉิ (สารปรับปรุงดิน) จากโครงการชีววิถี กฟผ. เหมือนกับการได้ค้นพบขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในแผ่นดินของพวกเขาเอง จากวัตถุดิบที่แสนเรียบง่ายอย่างมูลสัตว์ รำละเอียด กากน้ำตาล และน้ำสะอาด นำมาผสมกับหัวเชื้อ EM ที่ได้รับการสนับสนุนจาก “โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” กฟผ. ใช้เวลาหมักเพียง 7 วัน และเมื่อนำไปใช้จะเห็นผลภายใน 15 วัน 

          “ตอนแรกเราทำได้แค่รอบละ 10 กระสอบ มันเหมือนกับการทดลองเล็ก ๆ แต่พอได้เห็นผลผลิตที่งอกงาม… ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป” พี่จุรีย์เล่าด้วยแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความสุข

          ด้วยการสนับสนุนเครื่องจักรจาก กฟผ. กำลังการผลิตโบกาฉิก็เพิ่มขึ้นอย่างเหลือเชื่อ จาก 10 กระสอบ กลายเป็น 50-60 ตันต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดูเกินฝันสำหรับชุมชนเล็ก ๆ แห่งนี้ 

          การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เพียงตัวเลข แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตอย่างแท้จริง ต้นทุนการเพาะปลูกลดลงจาก 30,000 บาทต่อรอบ เหลือเพียง 5,000 บาทต่อรอบ หรือลดลงกว่า 6 เท่า ซึ่งจากรายจ่ายที่ลดลงเปลี่ยนกลับเป็นเงินจำนวนมหาศาลที่ถูกส่งคืนกลับมา

          “แต่ที่สำคัญกว่าเงินคือผลผลิตที่เพิ่มขึ้นถึง 70% ดินเริ่มกลับมามีชีวิต และกล้วยหอมทองที่เราปลูกยังได้รางวัลจากงานเกษตรระดับจังหวัดด้วยนะ” น้ำเสียงของพี่จุรีย์เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

          สวนที่เคยเป็นเพียงแปลงปาล์มและยาง กลายเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ทุกครัวเรือนมีผักผลไม้กินเอง ค่าใช้จ่ายลดลง ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

ความสำเร็จของบ้านควนไม่ได้หยุดอยู่แค่ในชุมชน แต่ยังขยายผลต่อไปยังตำบลคลองท่อมใต้ แหล่งกาแฟชื่อดังของกระบี่ 

พี่สุภานีย์  เจ้าของ Yak Space Café และสวนกาแฟ ตัดสินใจลองใช้โบกาฉิกับสวนของเธอ ผลที่ได้ทำเอาเธอแทบไม่เชื่อสายตา

“ราคากาแฟเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 70-80 บาท เป็น 200-300 บาท บริษัทกาแฟเข้ามารับซื้อถึงที่เลยค่ะ” เธอบอกด้วยความตื่นเต้น

แต่ที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือสวนปาล์มที่เคยเสื่อมโทรมกลับฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 35-40 กิโลกรัม เป็น 60-70 กิโลกรัม ในแต่ละรอบตัด รอบนึงประมาณ 20 วัน อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนจากการใช้ปุ๋ยเคมีลงไปกว่าครึ่ง ด้วยประสิทธิภาพการใช้โบกาฉิจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ชีววิถีบ้านควน 



          สิ่งที่เกิดขึ้นในสวนเหล่านี้ไม่ใช่แค่การปลูกพืช แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ในสวนปาล์มและยาง วันนี้มีทั้งกาแฟ กล้วย โกโก้ และการเลี้ยงผึ้งควบคู่กันไป จากการลดการใช้สารเคมี และพัฒนาเข้าสู่การทำเกษตรแบบอินทรีย์ ช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับธรรมชาติ


          ความสำเร็จนี้ไม่ได้ถูกเก็บไว้เพียงลำพัง เมื่อสวนให้ผลผลิตมากขึ้นพี่สุภานีย์ก็จ้างชาวบ้านที่ขาดรายได้มาช่วยเก็บเกี่ยว เป็นการกระจายรายได้กลับสู่ชุมชนอย่างภาคภูมิใจที่สุด

          “เราไม่ได้อยากรวยเงินทอง แต่อยากให้ชุมชนมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ อยากให้เด็ก ๆ ในชุมชนมีทุนการศึกษา” พี่จุรีย์เผยเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าการทำกำไร กองทุนการศึกษาที่ตั้งขึ้นจากส่วนเกินของวิสาหกิจ การจ้างงานครอบครัวที่เปราะบาง การช่วยเหลือครอบครัวที่มีผู้พิการหรือผู้ป่วยติดเตียง การแบ่งปันผลกำไร ทุกอย่างนี้สะท้อนปรัชญาที่ว่า “เมื่อเราอยู่ดี ชุมชนก็ต้องอยู่ดีไปด้วยกัน”

          แผนในอนาคตยิ่งน่าตื่นเต้น ทั้งการสร้างแบรนด์ การขยายช่องทางจำหน่ายไปสู่ห้างสรรพสินค้า การขยายไปยังสวนทุเรียนปีละ 5 แห่ง และการทดลองกับพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น ผักสลัดและพริก

          เรื่องราวของบ้านควนไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจ แต่เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนของพลังแห่งความร่วมมือ เมื่อภาครัฐอย่าง กฟผ. ภาคการศึกษา และชุมชนร่วมแรงร่วมใจกันอย่างแท้จริง การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้นได้

          นี่ไม่ใช่เพียงความสำเร็จทางเศรษฐกิจ แต่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด Social Enterprise ที่สามารถพัฒนาต่อยอดให้ยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม พวกเขาเริ่มต้นจากกลุ่มเล็ก ๆ พัฒนาตนเองอย่างเป็นระบบ สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับครอบครัว และที่สำคัญกว่านั้นคือการแบ่งปันผลกำไรกลับคืนสู่สังคม

          ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาสำหรับเด็ก ๆ การจ้างงานเพื่อช่วยเหลือครัวเรือนที่เปราะบาง หรือการส่งต่อความรู้ให้กับชุมชนอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่การมีกำไร แต่คือการได้เห็นคุณภาพชีวิตของทุกคนในชุมชนดีขึ้นไปพร้อมกัน

          และที่สำคัญที่สุด คือการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนนับไม่ถ้วน แม้จะเริ่มต้นจากก้าวเล็ก ๆ แต่ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นและการร่วมมือกันอย่างแท้จริง เราทุกคนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้

Skip to content