โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเขื่อนจุฬาภรณ์ แบตเตอรี่ขนาดยักษ์ของไทยเพื่อพลังงานมั่นคงและโลกที่ยั่งยืน

3 October 2025

          การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเป็นโจทย์สำคัญของโลก ประเทศต่างๆ กำลังเร่งปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน แต่ความท้าทายสำคัญ คือ ความไม่สม่ำเสมอของพลังงานหมุนเวียน ที่พลังงานแสงอาทิตย์สามารถผลิตไฟฟ้าได้เฉพาะช่วงกลางวัน หรือช่วงที่ความเข้มแสงเพียงพอ ขณะที่พลังงานลมก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ทำให้เกิดความจำเป็นในการสร้างระบบกักเก็บพลังงานที่สามารถสำรองไฟฟ้าเพื่อจ่ายไฟฟ้าได้ทันทีเมื่อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหายไป หรือเมื่อความต้องการไฟฟ้าสูง โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ (Pumped Storage Hydropower Plant : PSH)  จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ ทั้งในการกักเก็บและผลิตพลังงานไฟฟ้า ช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า สนับสนุนให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานที่ยั่งยืนและเชื่อถือได้มากขึ้น

เดินหน้านวัตกรรมพลังงานรองรับพลังงานหมุนเวียน

          การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีภารกิจหลักในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับประเทศ ได้ผลักดันโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ เพื่อเป็นหนึ่งในโครงการตามในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศที่อยู่ระหว่างการร่างแผนใหม่ เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าของไทยให้สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่แสงอาทิตย์และลมไม่เพียงพอในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง น้ำจะถูกปล่อยลงผ่านกังหันผลิตไฟฟ้า เพื่อผลิตไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ ภายในระยะเวลาไม่เกิน 15 นาที และในช่วงเวลาที่ความต้องการไฟฟ้าต่ำหรือมีไฟฟ้าส่วนเกินจากพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับจะสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำด้านล่างขึ้นไปยังอ่างเก็บน้ำด้านบน โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับจึงเป็นเสมือนแบตเตอรี่ ที่สามารถเก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ใช้ตามความต้องการเหมือนการชาร์จและคายประจุของแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ โดยแบตเตอรี่พลังน้ำนี้มีอายุการใช้งานยาวนาน สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในปริมาณมาก และมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำกว่าระบบกับเก็บพลังงาน (ESS) ชนิดอื่น

ก้าวใหม่ของแบตเตอรี่พลังงานสะอาดที่เขื่อนจุฬาภรณ์

          ปัจจุบันในประเทศไทย มีโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับแล้ว จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ เขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี กำลังผลิต 360 เมกะวัตต์ , เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก กำลังผลิต 171 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จังหวัดนครราชสีมา กำลังผลิต 1,000 เมกะวัตต์  และมีแผนเดินหน้าพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเขื่อนจุฬาภรณ์ที่จังหวัดชัยภูมิ  โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิม คือ ใช้อ่างเก็บน้ำเขื่อนจุฬาภรณ์เป็นอ่างเก็บน้ำตอนบน  และสร้างอ่างเก็บน้ำด้านล่างเพิ่ม สร้างอุโมงค์ส่งน้ำใต้ดินพร้อมติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่สามารถทำงานได้ทั้งโหมดผลิตไฟฟ้าและการสูบน้ำขึ้นไปเก็บกัก กำลังการผลิตรวมของโครงการอยู่ที่ 800 เมกะวัตต์ โครงการนี้จะมีการก่อสร้างระบบอุโมงค์ส่งน้ำใต้ดินมีความยาวประมาณ 1.2 กิโลเมตร ออกแบบโดยคำนึงถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน เช่น การรักษาระบบนิเวศน้ำและป่าไม้รอบเขื่อน

พลังงานสะอาดสร้างความมั่นคงไฟฟ้า พัฒนาท้องถิ่น

          โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ นับเป็นพลังงานที่ยั่งยืน ด้วยการใช้ทรัพยากรน้ำหมุนเวียนได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ช่วยสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้า ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ชุมชนรอบโรงไฟฟ้ายังจะได้รับประโยชน์จากการจ้างงานทั้งในช่วงระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และการจ้างงานทั่วไปในช่วงการดำเนินงานโรงไฟฟ้า นอกจากนี้ยังได้รับการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนพัฒนาโรงไฟฟ้า เพื่อนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ อาทิ ด้านสาธารณูปโภค ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานหมุนเวียนให้แก่เยาวชน นักท่องเที่ยว และประชาชนในพื้นที่

          ในอนาคตที่เรามุ่งหน้าสู่พลังงานสีเขียว โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเขื่อนจุฬาภรณ์จะเป็นหนึ่งในแหล่งสำรองพลังงานที่สำคัญของประเทศ ทำงานร่วมกับพลังงานหมุนเวียนเพื่อให้ระบบไฟฟ้ามีเสถียรภาพเพิ่มความยืดหยุ่นรองรับในทุกสถานการณ์ พร้อมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับชุมชนท้องถิ่น ตอกย้ำบทบาทของ กฟผ. ในการดูแลระบบไฟฟ้าของชาติให้มั่นคง ส่งมอบพลังงานที่เชื่อถือได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความยั่งยืนให้กับคนไทย

Skip to content